Travelista นักเดินทาง

"365 วันของฉันคือการเดินทาง"
นักข่าว-บล็อกเกอร์-นักเขียนพ็อคเก็ตบุ๊ค-โค๊ชออนไลน์

เอกชนชี้มาตรฐาน-แบรนด์สำคัญกว่าทำกำไร

tags: ท่องเที่ยวไทย, เขียนเมื่อ : 21 เมษายน 2561 12:19:23 จำนวนผู้ชม : 826
เอกชนชี้มาตรฐาน-แบรนด์สำคัญกว่าทำกำไร

ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเผยกลยุทธ์เติบโตระยาว ต้องเร่งสร้างมาตรฐานควบคู่แบรนด์สินค้ามากกว่าเน้นทำกำไร เผยลงทุนยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการภายใน 3-5 ปี จะสามารถลดต้นทุนการตลาดได้ถึง 15% ต่อปี  

นายอุดม ศรีมหาโชตะ เจ้าของรีสอร์ตบ้านทะเลดาว หัวหิน เปิดเผยว่าการพัฒนาท่องเที่ยวให้เติบโดอย่างยั้งยืน จะต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยภาครัฐมีหน้าที่โปรโมทสินค้าและบริการท่องเที่ยวมีได้มาตรฐานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานรางวัลกินรีหรือ Thailand Tourism Awards รางวัลโรงแรมสีเขียว หรืออื่นๆให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในขณะที่ผู้ประกอบการก็ต้องรักษามาตรฐานสินค้าของตัวเองให้ดีสมำเสมอ

“ปัจจุบันสินค้าท่องเที่ยวของไทย ถือว่าได้เปรียบกว่าทุกประเทศในแถบเพื่อนบ้าน แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้าหากไม่มีการพัฒนา การท่องเที่ยวของไทยอาจจะเดินตามประเทศเพื่อนบ้าน” นายอุดมกล่าว

ตัวอย่าง เช่น เวียดนามและลาวเริ่มมีการตื่นตัวและพัฒนาการท่องเที่ยวทั้งระบบให้ได้มาตรฐานระกับสากล เริ่มมีการสร้างมาตรฐานโรงแรมแล้ว แม้กระทั่งเครือโรงแรมต่างชาติขนาดใหญ่ อย่างเช่น กลุ่ม แอคคอร์ ก็มีการกำหนดแนวทางธุรกิจให้เจ้าของโรงแรมที่กลุ่มแอคคอร์บริหารอยู่ นำไปได้พร้อมทั้งมีการประกวดมาตรฐานโรงแรมในภาคเครืออีกด้วย ซึ่งมาตรการนี้กลุ่มแอคคอร์ได้เริ่มใช้กับโรงแรมทั่วเอเชียแล้ว

นายอุดม เปิดเผยต่อว่า อีกมาตรการหนึ่งที่จะช่วยผู้ประกอบการให้มีมาตรฐานคือ ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ปล่อยเงินกู้ ควรมีส่วนร่วมในการช่วยวางแนวทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการในการสร้างธุรกิจที่มีมาตรฐานสากล หากไม่มีความชัดเจนก็ไม่ควรปล่อยเงินกู้ให้

# สร้างมาตรฐานลดต้นทุนได้ 15%

ทั้งนี้ นายอุดมมองว่าการสร้างมาตรฐานการสินค้า และการมีแบรนด์สินค้าที่แข็งแรงจะนำไปสู่การเติบโดในระยะยาว ผู้ประกอบการควรตระหนักว่ามาตรฐานเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการเน้นทำกำไร โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้น ซึ่งต้องมีการลงทุนในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ บุคคลากร และระบบไอที ซึ่งอาจใช้เวลา 3-5 ปี แต่หลังจากนั้นจะเป็นที่ยอมรับของตลาด 

“ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่ต้องมาตรฐานที่ดี และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ดังนั้นผู้ประกอบการต้องเร่งยกระดับตัวเอง ซึ่งอาจจะใช้เวลา 3-5 ปี แต่ผลที่ได้คือ สามารถลดต้นทุนการตลาดไปได้ถึง 10-15% ต่อปี” นายอุดมกล่าว

สำหรับรีสอร์ตบ้านทะเลดาวหัวหิน ได้พัฒนาสินค้าจนเป็นที่นิยมของตลาดตะวันตก โดยปัจจุบันมีลูกค้าจากยุโรปมากถึง 55% เช่น เยอรมนี ฮอลแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ และประเทศแถบแสกนดิเนวีย อีก 45% เป็นตลาดคนไทย และอีก 5% มาจากตลาดอื่นๆ

# แบรนด์แข็งดึงนักท่องเที่ยวได้

นางสาวนีรชา วางศ์มาศา กรรมการผู้จัดการ ภูนาคำ รีสอร์ต อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย กล่าวว่าการสร้างแบรนด์สินค้าไม่ได้จำกัดอยุ่เฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ตั้งอยู่จังหวัดต่างๆก็สามารถทำได้ ยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กระแสการท่องเที่ยวชุมชนได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบที่ตั้งอยู่นอกเมืองท่องเที่ยวหลัก

จากการที่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กำลังได้รับความนิยมสูงในลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ทางรีสอร์ตจึงได้พัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบดังกล่าวขึ้นมารองรับ เช่น การดำนา การปลุกผัก การทำหน้ากากและชุดผีตาโขน ขี่จักรยาน รวมทั้งการจับมือการชุมชนให้ผลิตท้องถิ่นมาจำหน่ายในรีสอร์ต

“กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ มักมีความคาดหวังสูงในเรื่องจิตสำนึกของผู้ประกอบการ ชุมชน มาตรฐาน รวมทั้งนักท่องเที่ยวด้วยกัน ในการรักษาและส่งเสริมจุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวให้คงเอกลักษณ์ในระยะยาว นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังต้องการมีส่วนร่วมในกิจกรรมบางอย่างอีกด้วย ส่งผลให้ผู้แหล่งท่องเที่ยวและชุมชนหลายแห่งยังขาดความพร้อมเหล่านี้” นางสานีรชากล่าว

ปัจจุบัน ภูนาคำรีสอร์ต เปิดให้บริการห้องพัก 20 ห้อง ราคาเฉลี่ยน 2,500 บาท ในช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยวจะลดลงกว่านี้ โดยลูกค้า 80% ยังเป็นกลุ่มคนไทยและอีก 20% เป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่มากจากยุโรป

# แนะจับตลาดเฉพาะกลุ่ม

นายสมานนพพล รัตนธรรมทิตยา, หัวหน้าทีมสินค้าและปฏิบัติการ บริษัท เอเออี ออลเอเชีย เอ็กซ์คลูซีฟ จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทเน้นการนำเสนอรายการท่องเที่ยวคุณภาพสูงสำหรับลูกค้าวีไอพีที่เป็นชาวต่างชาติ พร้อมบริการแบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยเน้นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ไม่ค่อยนิยม

สำหรับจุดขายสำคัญของบริษัท คือ การเน้นเส้นทางท่องเที่ยวที่ชาวยุโรปให้ความสนใจ ทั้งด้านประวัติศาสตร์ ประเพณี และวัฒนธรรม อาทิ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเน้นกิจกรรมการท่องเที่ยงเชิงเกษตรอินทรีย์ กิจกรรมทดลองดำนา การย้อมผ้าหม้อห้อม และการเรียนรู้การทำอาหารไทยชนิดต่างๆ

“จุดเด่นที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ คือ การให้บริการเส้นทางท่องเที่ยว ตามความต้องการของลูกค้าหรือ Tailor made ปัจจุบัน เอเออี ออลเอเชีย เอ็กซ์คลูซีฟ มีลูกค้า 100% มาจากยุโรป เช่น อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ และเยอรมนี” นายสมานนพพลกล่าวและว่า บริษัทฯยังมีบริหารรถเมอเซเดสเบนซ์รับส่งนักท่องเที่ยวระหว่างสนามบินกับโรงแรม ซึ่งเป็นบริการเฉพาะกลุ่มตลาดบนเท่านั้น 

ตัวอย่างรายการทัวร์ที่บริษัท เคยจัดให้ลูกค้าชาวยุโรปที่เป็นครูสอนประวัติศาสตร์ เข้ามาศึกษาวัดไทย 100 วัดทั่วประเทศ ซึ่งบริษัทต้องมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัดบริการ มีรถและพนักงานขับรถที่เชี่ยวชาญเส้นทาง

นายสมานนพพลกล่าวอีกว่า ในปีนี้ทางบริษัท ต้องการขายแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในเมืองรองเพิ่มขึ้น 

ปัจจุบันทางบริษัท ให้บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 5,000 คนต่อไป โดยนักท่องเที่ยวแต่ละคนใช้จ่ายเงินเฉลี่ยมากกว่า 10,000 บาทต่อคนต่อวัน

“จากความพยายามเสนอรายการนำเที่ยวคุณภาพ และเจาะตลาดเฉพาะทาง ทำให้บริษัทได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งรางวัลนี้สามารถไปนะเสนอขายในตลาดยุโรปได้ง่ายขึ้น” เขากล่าว

ทั้งนี้ อยากให้บริษัททัวร์อื่นๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาดเป็นจำนวนมาก ปรับกลยุทธ์หันไปเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือนำเสนอสินค้าตามความต้องการของลูกค้า อาจทำให้เพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ๆได้

tags: ท่องเที่ยวไทย, จำนวนผู้ชม : 826

© www.bloggertravelista.com 2018