เซบาสเตียน บาแซง ประธานกรรมการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร #แอคคอร์ #Accor กล่าวว่า “ในปี พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา แม้การเริ่มต้นปีจะไม่ดีนักเนื่องจากข้อจำกัดต่าง ๆ แต่ธุรกิจของเราเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นทุกเดือนจนถึงเดือนธันวาคม ผลสำเร็จต่าง ๆ เกิดขึ้นจากความแข็งแกร่งของแบรนด์ต่าง ๆ ของเรา การจัดการทางด้านการเงินที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงความพยายามและความมุ่งมั่นของทีมงานของเราตลอดทั้งปี ความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกคนทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นจากวิกฤตและได้รับส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ภูมิภาค นอกจากนี้ โปรเจคที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของเรายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงแรมระดับลักซ์ชัวรี่และอัพสเกลที่คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% เพิ่มขึ้น 12 จุดในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ความต้องการในการกลับมาเดินทางท่องเที่ยวและพักผ่อนเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเราก็พร้อมอย่างยิ่งสำหรับการฟื้นตัวในทุก ๆ ตลาดของเรา ในปี พ.ศ. 2565 นี้ เราจะยังคงมุ่งหน้านำเสนอวิสัยทัศน์ด้านการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์และความยั่งยืนโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นส่วนช่วย และด้วยจุดแข็งเหล่านี้ เราจึงมั่นใจในความสามารถของเราในการสร้างคุณค่าให้กับพาร์ทเนอร์และผู้ถือหุ้นของเราอย่างต่อเนื่อง”
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 ธุรกิจของแอคคอร์ได้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมี RevPAR (รายได้ต่อห้องว่าง) ที่ดีขึ้นทุก ๆ เดือน ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ราคาห้องพักเฉลี่ยใกล้กับหรือเกินระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในหลาย ๆ จุดหมายปลายทางในปลายปี พ.ศ. 2564 แม้ว่าผลกระทบของวิกฤตการณ์ที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด-19 นั้นยังไม่หมดไป แต่ธุรกิจของกลุ่มในหลาย ๆ ภูมิภาคมีแนวโน้มที่ดีขึ้นและการดำเนินธุรกิจกำลังมุ่งกลับสู่ระดับ “ปกติ” แม้การระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนช่วงเดือนมกราคมจะมีผลกระทบต่อ RevPAR รายเดือน แต่สถานการณ์ก็กลับมาดีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์
ในช่วงปี พ.ศ. 2564 แอคคอร์ได้เปิดโรงแรมใหม่ทั้งหมด 288 แห่ง คิดเป็นห้องพักจำนวน 41,000 ห้อง ส่งผลให้เครือข่ายเติบโตสุทธิ 3% ในช่วง 12 เดือน ณ สิ้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 แอคคอร์ให้บริการห้องพักจำนวน 777,714 ห้อง (5,298 โรงแรม) และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาคิดเป็นจำนวนกว่า 214,000 ห้อง (1,218 โรงแรม)
สำหรับปีพ.ศ. 2565 นี้ แอคคอร์ คาดว่าจะมีการเติบโตสุทธิของเครือข่ายอยู่ที่ 3.5%
ในปีพ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา แอคคอร์ รายงานรายได้รวม 2,204 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2563
การให้บริการโรงแรม (HotelServices) ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมจากบริหารจัดการ & แฟรนไชส์ (M&F) และบริการแก่เจ้าของโรงแรม สร้างรายได้ 1,582 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน (ลดลง (46)% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2562) การเพิ่มขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี
รายรับการบริหารจัดการ & แฟรนไชส์ (M&F) อยู่ที่ 518 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2563 (ลดลง (51)% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2562) โดยรายได้สำหรับแต่ละภูมิภาคนั้นมีความสัมพันธ์กับวิกฤตสุขภาพ
RevPAR รวมของกลุ่ม ในปีพ.ศ. 2564 ลดลง (46)% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2562 การลดลงนี้สะท้อนถึงสภาพแวดล้อมที่หยุดชะงักจากการกลับมาระบาดใหญ่ของโควิด-19 แม้ว่าธุรกิจทั่วโลกจะดีขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2564
สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก RevPAR ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงระหว่างไตรมาสที่สามและสี่ หลังได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดด้านโควิดที่เข้มงวดขึ้นในช่วงไตรมาสที่สาม อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2562 RevPAR ลดลง (49)% ในปีงบประมาณ 2564
•ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสัญญาณของการพัฒนาที่ดีขึ้นเนื่องจากการรณรงค์ฉีดวัคซีนและการผ่อนคลายข้อจำกัดต่าง ๆ โดยเฉพาะในประเทศไทยและอินโดนีเซีย ธุรกิจในสิงคโปร์ยังคงมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการกักตัวของนักท่องเที่ยว สำหรับภูมิภาคนี้ RevPAR ลดลง (66)% ในปีงบประมาณ 2564 เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2562
EBITDA รวม เติบโตขึ้นที่ 22 ล้านยูโรในปีงบประมาณ 2564 เทียบกับ EBITDA ติดลบที่ (391) ล้านยูโรในปีงบประมาณ 2563 ผลการดำเนินงานนี้เชื่อมโยงกับการฟื้นตัวของธุรกิจและการควบคุมต้นทุนคงที่ที่ดีขึ้น
RESET หรือแผนการประหยัดต้นทุน 200 ล้านยูโร ที่เริ่มใช้ในปี 2563 เป็นไปตามเป้าหมายด้วยดี และจะสิ้นสุดในสิ้นปีพ.ศ. 2565 นี้ คาดว่าจะส่งผลดีต่อ EBITDA เป็นจำนวนเงินกว่า 50 ล้านยูโร
เหตุการณ์สำคัญในปี พ.ศ. 2564 ของแอคคอร์ เช่น
•การแต่งตั้งผู้บริหารสองตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ บรูน ปัวร์สัน ผู้อำนวยการฝ่ายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ สตีเฟ่น อัลเดน คณะกรรมการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารแบรนด์ Raffles และ Orient Express ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มอบประสบการณ์สุดพิเศษและมีเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจ
•การควบรวมกิจการกับ Ennismore เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 แอคคอร์ ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Ennismore กลุ่มโรงแรมไลฟ์สไตล์ โดยแอคคอร์ได้ถือหุ้น 66.67% ส่วนที่เหลืออีก 33.33% ถือโดย Sharan Pasricha ผู้ก่อตั้ง Ennismore
แอคคอร์ (Accor) คือ เครือข่ายโรงแรมและการบริการชั้นนำระดับสากล ประกอบด้วยที่พักมากกว่า 5,300 แห่ง รวมถึงร้านอาหารและบาร์กว่า 10,000 แห่ง ใน 110 ประเทศ แอคคอร์เป็นเครือข่ายที่ให้บริการด้วยความหลากหลายและครบวงจรมากที่สุดแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรม มีแบรนด์ในเครือข่ายกว่า 40 แบรนด์ ตั้งแต่ระดับลักซ์ชัวรี่และพรีเมี่ยมไปจนถึงแบรนด์ระดับกลางและแบบประหยัด สถานบันเทิง ห้องอาหาร บาร์ โครงการที่อยู่อาศัย ห้องพักแบบแชร์ บริการคอนเซียช โคเวิร์กกิ้งสเปซ และอื่นๆอีกมากมาย แบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่มีใครเทียบได้ของของแอคคอร์บริหารโดยเอนนิสมอร์ (Ennismore) บริษัทร่วมทุนซึ่งแอคคอร์ถือหุ้นใหญ่ เอนนิสมอร์ คือ บริษัทด้านโรงแรมและการบริการที่มีเครือข่ายแบรนด์ระดับโลกที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์และความเฉพาะตัวที่แตกต่าง ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรม แอคคอร์ยังมีกลุ่มแบรนด์ที่โดดเด่นและมีทีมงานกว่า 260,000 คนทั่วโลก ALL - Accor Live Limitless คือโปรแกรมสมาชิกที่เป็นเสมือนคู่หูด้านไลฟ์สไตล์ มอบรางวัล การบริการ และประสบการณ์ที่หลากหลายแก่สมาชิกกว่า 68 ล้านท่าน แอคคอร์มีความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าเชิงบวกผ่านจริยธรรมทางธุรกิจ การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน การมีส่วนร่วมของชุมชนและการยอมรับความแตกต่าง โดยได้จัดตั้งโครงการ เช่น Planet 21 – Acting Here, Accor Solidarity, RiiSE และ กองทุน ALL Heartist Fund ก่อตั้งขึ้นในปี 1967 Accor SA มีสำนักงานใหญ่ในฝรั่งเศส และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Euronext Paris Stock Exchange (ISIN code: FR0000120404) และ OTC Market (Ticker: ACCYY) ในสหรัฐอเมริกา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าชมได้ที่ group.accor.com หรือติดตามเราได้ทาง ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ลิงกต์อิน และ อินสตาแกรม