ใครคนหนึ่ง เคยบอกว่า “See Angkor Wat and Die” ต้องไปเที่ยวที่นครวัด ของกัมพูชา สักครั้งก่อนตาย แต่วันนี้เราอยากมีสถานที่อีกแห่งที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เป็นศาสนสถานที่เก่าแก่กว่านครวัดถึง 300 ปี และเป็นมรดกโลกเหมือนกันนั่นคือ “บูโรพุทโธ” และ “ปรัมบะนัน” ในอินโดนีเซีย
ได้รับการเชื้อเชิญจาก คุณวีนัส อัศวสิทธิถาวร Director – Enterprise Brand Management office เอสซีจี ให้ร่วมทริป SCG Sharing the Dream เพื่อไปมอบทุนการศึกษาของ SCG ให้เด็กๆชาวอินโดนีเซีย พร้อมๆกับการท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์สถานที่น่าสนใจของอินโดนีเซีย เราไปเปิดประสบการณ์กัน
ยอคยาการ์ตา ( Yogyakarta มักจะเรียกว่า จ๊อกจา, ยอคยา) หรือ ยอร์กยาการ์ตา เป็นเมืองหลวงของเขตปกครองพิเศษยอคยาการ์ตา เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ที่นี่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมชวาโบราณทั้งในด้านดนตรี นาฏศิลป์ และงานฝีมือ ยอคยาการ์ตาเคยเป็นเมืองหลวงในช่วงที่อินโดนีเซียเรียกร้องเอกราชจากดัชต์ในปีช่วง ค.ศ.1945 - 1949
แทบไม่น่าเชื่อว่า ไทยและอินโดมี Story ที่คล้ายกัน เมืองยอคยาการ์ตาแต่เดิมมีชื่อว่า "อโยธยา" (Ayodhya) ซึ่งตั้งตามเมืองในวรรณคดีเรื่องรามายณะ ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นยอคยาการ์ตา โดยคำว่า ยอคยา (Yogya) แปลว่า "เหมาะสม" ส่วนคำว่า การ์ตา (Karta) แปลว่า "รุ่งเรือง"
พันกว่าปีที่ผ่านมา ยอคยาการ์ต้า เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรมาตาราม (Mataram) โบราณ ซึ่งเจริญรุ่งเรืองและมีอารยะธรรมสูง อาณาจักรนี้สร้างวิหารบุโรพุทธโธ (Borobudur) ซึ่งเป็นวัดในพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อ 300 ปีก่อนที่จะสร้างนครวัดในกัมพูชา สร้างพระธาตุอื่นๆ เช่น วัดปรัมบะนัน (Prambanan) วัดราตู โบโก (Ratu Boko) และอีกหลายสิบวัดอื่นๆ กระจายอยู่ทั่วยอคยาการ์ต้า
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ลึกลับ อาณาจักรมาตาราม (Mataram) ได้ทำการย้ายศูนย์กลางไปที่ชวาตะวันออกในศตวรรษที่ 10 วัดงดงามจึงถูกทอดทิ้งและถูกฝังอยู่ภายใต้เถ้าถ่านจากการระเบิดของภูเขาไฟเมอราปี (Merapi) และหลังจากนั้น ยอคยาการ์ต้า ก็กลับเข้าไปสู่ยุคมืด จนกระทั่งมีการขุดค้นพบ และบูรณะครั้งใหญ่ในเวลาต่อมา
เราเริ่มออกเดินทาง โดยใช้เส้นทาง กรุงเทพฯ สู่เมืองเดนปาซ่าร์ เกาะบาหลี ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย จากนั้นจะไปถึงสนามบินงูราฮ์ไร เมืองเดนปาซ่าร์ เพื่อพักรอการเปลี่ยนเครื่อง ที่นี่เป็นสนามบินใหญ่มาก เพราะบาหลี เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ถือเป็นหัวใจในการทำรายได้ของประเทศอินโดนีเซียเลยทีเดียว เราแวะทานอาหารกลางวันในสนามบิน ระหว่างพักรอการเปลี่ยนเครื่อง
หลังจากนั้นใช้สายการบินการูด้าไปยังสนามบินยอคยาการ์ต้า เมื่อไปถึงสนามบินนี้เก๋มาก เมื่อลงเครื่อง ผู้โดยสารจะเดินลัดเลาะด้านนอกอาคารผู้โดยสาร สักพักใหญ่ เรียกว่าเดินเลียบลานจอดเครื่องบินไปเรื่อยๆ ผ่านเครื่องบินหลายลำ ก่อนเข้าสู่ตัวอาคาร
เราเริ่มเที่ยวตั้งแต่วันแรกกันเลยทีเดียว โดยไปชมพระอาทิตย์ตกดิน ที่ชายหาดปารังตรีตีส ( Parangtritis )ชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองยอคยาการ์ต้า หาดทรายแห่งนี้ซึ่งเป็นสิ่งมหัสจรรย์ทางธรรมชาติ ที่เกิดจากเถ้าถ่านจากภูเขาไฟเมอราปี ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ของยอคยาการ์ต้าราว 27 กิโลเมตร
(ใต้เท้าจะเห็นเลยว่าทรายเป็นสีดำ)
ช่วงบ่ายก่อนพระอาทิตย์ตกดินเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเยี่ยมชมชายหาด แต่เรามาถึงค่ำแล้ว ก็เลยชมแสงพระอาทิตย์ตกดิน ปารังตรีตีส มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับตำนานของ Ratu Kidul (ราชินีแห่งทิศใต้) คนชวาเชื่อว่าชายหาดปารังตรีตีส เป็นประตูของอาณาจักรที่มีมนต์ขลังของ Ratu Kidul ซึ่งเป็นผู้ควบคุมทะเลทางทิศใต้
วันต่อมา ได้เวลาเที่ยวชมมรดกโลกกันแล้ว เริ่มที่มหาสถูปบุโรพุทโธ (Borobudur) มรดกโลกแห่งองค์การยูเนสโกในปีค.ศ.1991 หนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญของประเทศอินโดนีเซีย
สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 14 โดยกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์ คำว่า “Borobudur” มาจากการผสมกันระหว่างคำว่า “Boro” ที่มาจากคำว่า Byara ในภาษาสันสกฤต แปลว่า วัดหรือศาลเจ้า และ “Budur” ที่มาจากคำว่า Beduhur ในภาษาบาหลี หมายถึง ภูเขา
บูโรพุทโธ จึงมีความหมายโดยรวมว่า วัดที่สร้างบนภูเขา ซึ่งเป็นพุทธสถานที่ผสมผสานกับศิลปะแบบอินเดียและอินโดนีเซียเข้าด้วยกัน โดยสร้างจากหินภูเขาไฟ เป็นรูปทรงขั้นบันไดแบบพีระมิดบนฐานสี่เหลี่ยม องค์เจดีย์มีลักษณะเป็นรูปทรงดอกบัว ซึ่งสื่อถึงสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
รอบเจดีย์เต็มไปด้วยภาพแกะสลักนูนต่ำ ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันไป แต่ละชั้นแสดงคติธรรมทางพุทธศาสนา ชั้นแรก เป็นชั้นที่มีความหมายถึงการที่มนุษย์ยังเกาะเกี่ยวอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด และวนเวียนอยู่กับกิเลส ตัณหา กามราคะ ที่เรียกว่าชั้น “กามธาตุ” ชั้นนี้มีภาพสลักที่น่าสนใจอยู่ถึง 160 ภาพ ว่าด้วยเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ซึ่งก็คือเรื่องของบาป บุญ คุณ โทษนั่นเอง
ชั้นที่สอง คือ “รูปธาตุ” มีลักษณะเป็นขั้นบันไดรูปกลม ฐาน 6 ขั้น สูงกว่าชั้นกามธาตุเล็กน้อย แสดงถึงการที่มนุษย์หลุดพ้นจากกิเลสทางโลกได้บ้าง แต่ก็ยังมีส่วนที่ยึดติดกับทางโลกอยู่
และชั้นสุดท้าย คือ “อรูปธาตุ” เป็นชั้นของการปฏิบัติขั้นสูงหลุดพ้นจากกิเลส ตัณหา ทั้งภวตัณหาและวิภวตัณหา ชั้นอรูปธาตุนี้มีรูปสลักนูนต่ำที่แสดงถึงพุทธประวัติถึงเกือบ 1,400 ภาพ อีกสิ่งหนึ่งที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของบุโรพุทโธ ก็คือ เจดีย์ทรงระฆังโปร่ง ฉลุเป็นช่องสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด เรียงรายอยู่โดยรอบ ในเจดีย์จะมีองค์พระพุทธรูปอยู่ข้างใน ซึ่งเชื่อกันว่า ถ้าใครสามารถยื่นมือไปสัมผัสพระพุทธรูปในนั้นได้จะสมหวังและโชคดี
และแน่นอนต้องไปถ่ายกับรูปไฮไลท์ ที่ขึ้นปกหนังสือมาแล้วมากมายทั่วโลกรูปนี้
จากนั้นเราไปชมจันทิเมนดุต (Candi Mendut) สร้างขึ้นในศิลปะชวาภาคกลางตอนกลาง โดยราชวงศ์ไศเลนทร์ในพุทธศตวรรษที่ 14 สร้างขึ้นในพุทธศาสนานิกายมหายาน โดยสร้างขึ้นในระยะเวลาเดียวกันกับบุโรพุทโธ และที่ตั้งของจันทิเมนดุตก็ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับบุโรพุทโธ และจันทิปะวน ก็น่าเชื่อว่า ทั้ง 3 แห่งนี้ตั้งอยู่ในแกนเดียวกัน จึงมีความสัมพันธ์กันในด้านประติมานวิทยา
ตรงบริเวณทางเข้ามีภาพแกะสลักรูปนางหาริตี ซึ่งก็คือ ยักษิณีผู้พิทักษ์เด็กในพุทธศาสนา เป็นสตรีที่ล้อมรอบด้วยเด็กจำนวนมาก อีกนัยหนึ่ง นางก็เป็นผู้ประทานบุตรให้กับผู้ศรัทธาด้วย ส่วนด้านในครรภคฤหะ จะมีประติมากรรมสำคัญ 3 องค์ คือ พระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทางด้านขวา และพระโพธิสัตว์วัชรปาณีทางด้านซ้าย
ตอนบ่ายไปชมจันทิปรัมบะนัน (Prambanan) หรือจันทิโลโลจงกรัง มรดกโลกแห่งองค์การยูเนสโกในปีค.ศ.1991 ถือว่าเป็นจันทิในศาสนาฮินดูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในศิลปะชวาภาคกลางตอน ปลาย สร้างขึ้นในราชวงศ์สัญชัย ซึ่งนับถือศาสนาฮินดูในราวพุทธศตวรรษที่ 15
ที่นี่ประกอบด้วยเทวาลัยจำนวน 8 หลัง โดยเทวาลัยตรงกลาง 3 หลัง สร้างอุทิศให้กับตรีมูรติ ได้แก่ เทวาลัยหลังกลางอุทิศให้กับพระศิวะ เทวาลัยหลังทิศเหนืออุทิศให้กับพระวิษณุ และเทวาลัยหลังทิศใต้อุทิศให้กับพระพรหม
ส่วนเทวาลัยด้านหน้าอีก 3 หลังนั้นเป็นเทวาลัยสำหรับพาหนะของเทพเจ้าทั้งสาม ได้แก่ โคนนทิ ครุฑ และหงส์ ตามลำดับ นอกจากนั้นยังมีเทวาลัยอีก 2 หลังเล็กขนาบทั้งสองด้าน คงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระอาทิตย์ และพระจันทร์
ไม่เพียงศาสนสถานระดับโลก แต่ยอคยายังมีพระราชวังกราตน (Graton Palace) ของสุลต่านฮาเม็งกูบาวาโน่ที่ 10 ซึ่งยังคงใช้เป็นที่ประทับอยู่ สร้างขึ้นในปีพ.ศ.2298 โดยสุลต่านองค์แรกของเมืองย็อกยาการ์ต้า และใช้เวลาก่อสร้างถึง 40 ปี ชมท้องพระโรงนอกที่ภายในจัดแสดงเครื่องดนตรีชวาที่ทำจากทองเหลือง
แล้วไปชมพระราชวังน้ำ ( Water Palace ) สถานที่พักผ่อนของสุลต่าน ภายในมีสระน้ำขนาดใหญ่เพื่อให้นางธารกำนัลได้เล่นน้ำ อาบน้ำโดยมีพลับพลาที่ประทับของสุลต่านอยู่ใกล้ๆ ในบริเวณเดียวกัน โดยมีส่วนของสระน้ำของมเหสี และพระธิดาแยกออกไปอีก รอบๆ จะเป็นสวนขนาดใหญ่ที่ยังคงความสวยงาม
ต่อมาเราเดินทางโดยเครื่องบินสู่จาการ์ต้า เพื่อเข้าร่วมโครงการเอสซีจี สานฝันอนาคตของผู้นำอินโดนีเซียรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการมอบทุนการศึกษา “SCG Sharing the Dream in Indonesia 2016”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อินโดนีเซียต้องประสบกับปัญหาการขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม ซึ่งส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อประเทศ เอสซีจี ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน จึงจัดทำโครงการมอบทุนการศึกษา “SCG Sharing the Dream” เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนในประเทศต่างๆ รวมทั้งอินโดนีเซียขึ้น
ในปีนี้เอสซีจีเน้นมอบทุนการศึกษาให้แก่ “ผู้นำอินโดนีเซียรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม”เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้แก่คนรุ่นใหม่
คุณนันทพงษ์ จันทร์ตระกูล SCG Indonesia Country Director กล่าวว่า “ด้วยความมุ่งมั่นของเอสซีจี ที่จะเป็นผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน จึงเน้นการดำเนินงานตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างความสมดุลย์ของทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในด้านสังคมนั้น เอสซีจีดำเนินการจัดทำโครงการมอบทุนการศึกษา “SCG Sharing the Dream” ในประเทศอินโดนีเซีย รวมทั้งอีก 6 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนขึ้น
นอกจากการมอบทุนที่เป็นตัวเงินแล้ว ยังให้การฝึกอบรมที่จะช่วยบ่มเพาะจิตใจ สร้างแรงบันดาลใจ และคุณธรรมแก่เยาวชนเหล่านี้ด้วย เพราะเอสซีจีเชื่อว่าวัยเด็กเป็นวัยที่สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาและหล่อหลอมอนาคตของพวกเขาในระยะยาว ซึ่งในปีนี้ เอสซีจีเน้นมอบทุนการศึกษาให้แก่ผู้นำอินโดนีเซียรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยหวังว่านักเรียนเหล่านี้จะนำจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ติดตัวไปเพื่อพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
งานนี้ท่านภาสกร ศิริยะพันธุ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงจาร์กาต้า มาเป็นสักขีพยาน และร่วมมอบทุนด้วย ซึ่งเราก็มีโอกาสถ่ายภาพกับท่านทูตด้วย
จบทริปที่แสนประทับใจในดินแดน มรดกโลก.........อินโดนีเซีย .........จนกว่าจะพบกันใหม่
ขอขอบคุณ SCG สนับสนุนการเดินทางของ Travelista นักเดินทาง
ติดตามข่าวสารท่องเที่ยวได้ที่ Facebook Travelista นักเดินทาง