Travelista นักเดินทาง

"365 วันของฉันคือการเดินทาง"
นักข่าว-บล็อกเกอร์-นักเขียนพ็อคเก็ตบุ๊ค-โค๊ชออนไลน์

นั่งรถไฟไม้ไผ่ Bamboo Trainที่พระตะบอง ททท.เปิดประตูสู่เออีซี

tags: ท่องเที่ยวต่างประเทศ, เขียนเมื่อ : 07 มีนาคม 2561 23:12:21 จำนวนผู้ชม : 1691
นั่งรถไฟไม้ไผ่ Bamboo Trainที่พระตะบอง ททท.เปิดประตูสู่เออีซี

          

ก่อนที่จะก้าวสู่ประชาคมอาเซียนหรือเออีซีอย่างเต็มรูปแบบ หรือก่อนสิ้นปีเพียงไม่กี่วัน มีโอกาสร่วมทริปกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภูมิภาคภาคตะวันออก  ที่ได้นำคณะสื่อมวลชนหลากหลายสาขาร่วมเดินทางในทริปพิเศษ ร่วมฉลองคริสต์มาสเที่ยงคืน ณ อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล ชุมชนริมน้ำจันทบูร พร้อมส่งเสริมการเปิดประตูสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) ด้วยเส้นทางเชื่อมโยงไทย – กัมพูชา

 

 ในการเดินทางครั้งนี้ เราไปแวะสถานที่แรกของจันทบุรี วังสวนบ้านแก้ว พระราชฐานของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 วังสวนบ้านแก้วมีทัศนียภาพที่สวยงาม มีลำคลองบ้านแก้วไหลพาดผ่าน มีทิวทัศน์ พรรณไม้ร่มรื่น  และด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ในการพระราชทานโอกาสทางการศึกษาแก่ประชาชนในจังหวัดจันทบุรี ต่อมาจึงทรงพระราชทานสวนบ้านแก้วแก่กระทรวงศึกษาธิการ ก่อนย้ายไปประทับ ณ วังศุโขทัย จวบจนวาระสุดท้ายของพระองค์

 

 

  หลังจากนั้นไปแวะทานกลางวันที่ร้านจันทรโภชนา ที่เปิดมานานกว่า 50 ปี มีเมนูหลากหลาย โดยเฉพาะการนำผลไม้ในท้องถิ่นมาประยุกต์เข้ากันกับอาหารมากที่สุด เมนูเด็ดเช่น ยำมังคุด แกงหมูชะมวง มัสมั่นไก่ใส่ทุเรียน  ส้มตำทุเรียน ปลาต้มระกำใส่กระวาน ถั่วฝักยาวผัดกุ้งแห้งใส่กะปิ กระวานผัดฉ่าไก่ เป็นต้น เมื่อทานเสร็จก็มีของฝากให้ซื้อกลับบ้านได้ด้วย โดยเฉพาะแกงหมูชะมวงกระป๋อง อย่าพลาดกันเลยทีเดียว

 

 

ไปต่อที่ศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านการทอเสื่อจันทบูรหมู่บ้านเสม็ดงาม  ชาวบ้านจะใช้เวลาว่างหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วมาทอเสื่อลายต่างๆ โดยเฉพาะ “เสื่อจันทบูร” ซึ่งเป็นหนึ่งใน “ของดี” ประจำจังหวัดจันทบุรี ไม่เพียงแต่เสื่อ ปัจจุบันมีการผลิตเป็นข้าวของเครื่องใช้มากมาย เช่น กระเป๋าถือ ซึ่งคุณเอิบลาภ ศรีภิรมย์ ผู้อำนวยการกองตลาดภาคตะวันออกที่นำคณะไปในครั้งนี้ เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้อย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังมีรองเท้า จานรองแก้ว และอื่นๆอีกจิปาถะ

 

 

ค่ำคืนนั้นเราไปเดินย่านถนนริมน้ำจันทบูร ซึ่งที่นี่มีร้านท่ามาจัน บรรยากาศโรแมนติกมาก อยู่ติดริมแม่น้ำจันทบุรีหรือที่เรียกว่าแม่น้ำจันทบูร  ตกแต่งในสไตล์วินเทจ ย้อนยุค เปิดเพลงสไตล์คันทรีคลอเบาๆ  ประดับร้านด้วยแสงเทียน อบอุ่นมากทีเดียว ด้านตรงข้ามเป็นโรงแรมท่ามาจัน เก๋ไก๋ไม่แพ้กัน

 

 

จากนั้นไปที่บ้านประวัติศาสตร์หลวงราชไมตรี ซึ่งเรามีโอกาสพักค้างคืนที่นี่ด้วย ชมห้องต่างๆที่สวยงามย้อนรอยอดีต นอนสบายเลยทีเดียว เป็นห้องนอนแบบห้องใต้หลังคา 2 ชั้น เก๋มากๆ

 

 

จากนั้นเข้าร่วมงานฉลองเทศกาลคริสต์มาสเที่ยงคืน ณ ชุมชนริมน้ำจันทบูร ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของจังหวัดจันทบุรีที่มีการนำเทคนิค 3D Animation Mapping Projection ย้อมไฟที่ตัวอาสนวิหารอย่างงดงาม พร้อมด้วยการฉลองวันพระทรงบังเกิดด้วยพลุเที่ยงคืนอย่างยิ่งใหญ่ คาดหมายว่างานนี้จะเป็นหนึ่งในเทศกาลต้องห้ามพลาดของจังหวัดจันทบุรีในปีต่อๆไป

 

 

วันต่อมาได้เวลามุ่งสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ไปเที่ยวได้สะดวกมาก ออกจากด่านชายแดนบ้านผักกาด ที่จันทบุรี เพียง 2 ชั่วโมงก็ถึงเมืองพระตะบอง เมืองแห่งความทรงจำของไทย ก่อนเข้าเมืองจะเห็นศาลของเยียยาต ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่เจ้าทางของเมืองอยู่ทางขวา

 

 

จากนั้นไปถ่ายรูปกับสถานที่สำคัญๆต่าง เช่นอนุสาวรีย์พญาตะบองขยุง รูปปั้นพญาตะบองขยุงถือกระบองอยู่บริเวณวงเวียนกลางเมืองพระตะบอง ปัจจุบันอนุสาวรีย์แห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองพระตะบองและเป็นที่มาของชื่อเมืองพระตะบองในปัจจุบัน

 

 

ไม่พลาดต้องไปศาลากลางจังหวัดพระตะบอง อาคารต้นแบบที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร นำมาสร้างเป็นศาลากลางจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อครั้งอพยพครอบครัวไปอยู่ที่เมืองปราจีนบุรี หลังจากที่สยามประเทศเสียดินแดนพระตะบองและเสียมราฐ ให้กับฝรั่งเศส

 

 

            ก่อนแวะวัดดำไรซอ หรือวัดช้างเผือก เป็นวัดในตระกูลอภัยภูเบศรที่สำคัญแห่งหนึ่งในพระตะบอง ร่องรอยที่เห็นมีตราสัญลักษณ์เหนือกรอบประตูด้านหน้าและหลังพระอุโบสถตรานั้นเป็นตราแผ่นดินรัชกาลที่ 5 แห่งพระราชอาณาจักรสยาม

 

 

หน้าวัดช้างเผือกมีรูปปั้นพระเวสสันดรทรง ช้างเผือกปัจจัยนาเคนทร์ พราหมณ์ เมืองคลิงคราช เข้ามากราบขอพระราชทาน สำหรับพระอุโบสถนั้นกล่าวกันว่า เมื่อเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) มาอยู่สยาม ได้นำรูปแบบมาสร้างโบสถ์วัดแก้วพิจิตร อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี  จึงทำให้โบสถ์ 2 หลังนี้คล้ายกันมาก

 

 

ขอยกให้เป็นไฮไลท์ในทริปนี้ นั่นคือการสัมผัสกับรถไฟไม้ไผ่หรือ “ Bamboo Train ” ซึ่งน่าจะมีแห่งเดียวที่พระตะบองนี้ หานั่งไม่ได้ในประเทศอื่น  รถไฟไม้ไผ่จะวิ่งกลางทุ่งที่ชนบทอันสวยงามเปี่ยมล้นด้วยธรรมชาติแห่งจังหวัดพระตะบอง ด้วยระยะทางประมาณ 7 กม.เป็นกิจกรรมที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่มาพระตะบอง จนมีคำกล่าวว่า “หากมาพระตะบองแล้วไม่ได้นั่งรถไฟไม้ไผ่เหมือนมาไม่ถึง”

 

 

เครื่องจักรของรถไฟประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างง่าย เชื่อมต่อเข้ากับชุดล้อโลหะ ติดเครื่องยนต์ที่ดัดแปลงมาจากเครื่องยนต์ของเรือ มีไม้ไผ่ขัดสานเป็นที่นั่ง เดิมเคยใช้งานเพื่อขนส่งสินค้าและผู้คนในระยะสั้น มาตั้งแต่สงครามกลางเมืองยุติลง และเมื่อไม่มีการใช้งานรถไฟสายนี้ จึงมีการคิดประยุกต์ให้นักท่องเที่ยวได้ลองนั่ง ในราคา 10 ดอลล่าร์ต่อคน ปรากฏว่านักท่องเที่ยวสนใจมาก มีฝรั่งไปนั่งกันคึกคัก

 

 

จากนั้นไปหมู่บ้านทำปลาร้า ที่ทำมาจากปลาน้ำจืดจากแม่น้ำสังแก ชาวบ้านทำอุตสาหกรรมการถนอมอาหารตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงระดับชุมชน แม่น้ำสังแก เป็นแม่น้ำที่ไหลไปที่ทะเลสาบเขมร จึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลาหลากหลายชนิด จนกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของพระตะบอง แต่ขอบอกว่าอาจจะต้องทนกลิ่นปลากันได้สักนิด หากแต่ได้อารมณ์ของการท่องเที่ยวชมวิถีชีวิตอย่างแท้จริง

 

 

ไปต่อที่ปราสาทบานอน ชมสถาปัตยกรรมในช่วงศตวรรษที่ 11 – 12 สร้างขึ้นโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นบนยอดเขา ตัวปราสาทมีความสมบูรณ์ มีลวดลายแกะสลักที่มีความงดงาม และการขึ้นชมต้องเต็มไปด้วยความศรัทธาแรงกล้า เพราะต้องเดินขึ้นบันได  358 ขั้น

 

 

เราไม่ออกจากเขมรในทางเดิม เพื่อศึกษาเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับจังหวัดต่างๆของไทย แต่มาออกที่ด่านปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งติดกับชายแดนไทยที่ด่านบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ที่ด่านนี้มีบ่อนกาสิโนคึกคักมากมาย และเมื่อข้ามมาฝั่งไทยก็มีตลาดโรงเกลือ มีสินค้าสารพัดให้เลือกซื้อ

 

 

ประเทศกัมพูชา เป็นตลาดการค้าชายแดนภาคตะวันออกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวนับพันนับหมื่นคนมาจับจ่ายสินค้าแบรนด์เนมราคาถูก ที่มาจากทั่วทุกมุมโลก ณ ตลาดโรงเกลือแห่งนี้

 

 

เรามาแวะที่งานมหกรรมอาหาร 5 ชนเผ่า บริเวณถนนเจ้าพระยาบดินทร์ ในอรัญประเทศ กิจกรรมถนนคนเดิน ออกร้านอาหาร ที่หารับประทานได้ยากของชนเผ่าย้อ ชุมชนเวียดนาม ลาว กัมพูชา และจีน ที่อาศัยอยู่ในอำเภออรัญประเทศ และยังคงมีการสืบสานวัฒนธรรมด้านอาหารเหล่านี้อยู่

 

 

จากนั้นไปต่อที่งานแสดงดอกไม้ “Art in Heart แค่เห็นก็เข้าใจ” ณ ดาษดาแกลเลอรี่ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งในปีนี้มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2558 – วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2559 ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ที่สามารถเดินทางได้แบบเช้าไปเย็นกลับ โดยเป็นเทศกาลดอกไม้ที่นอกจากจะให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ยังมีการแสดงประกอบแสงสีเสียงในแนวคิดของธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ชมอีกด้วย

 

 

ปิดท้ายที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งสร้างในปี พ.ศ. 2452 โดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ซึ่งสร้างตึกเพื่อจะใช้เป็นที่ประทับแรมของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกรณีที่พระองค์เสด็จมายังมณฑลปราจีนบุรี  ต่อมามีการประทานที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเพื่อใช้เป็นโรงพยาบาลปราจีนบุรี และได้เปลี่ยนเป็น โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2509

 

 

ในปี พ.ศ. 2533 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรเป็นโบราณสถานของชาติ และมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศรขึ้น โรงพยาบาลนี้มีชื่อเสียงมากในเรื่องของการนวด และยาสมุนไพรไทย จนมีการพัฒนามาเป็นสินค้ามากมายภายใต้แบรนด์ อภัยภูเบศร

 

 

ผอ.เอิบลาภบอกว่า การเดินทางในครั้งนี้ถือว่ามีความพิเศษมาก เพราะเป็นการสำรวจเส้นทางเชื่อมโยงไทย-กัมพูชา โดยใช้แนวคิดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ผูกพันกันทั้งสองประเทศเป็นจุดขาย นั้นคือ ความเป็นเมืองคู่แฝดของจังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดพระตะบองที่เคยอยู่ในการปกครองของสยาม

 

 

โดยจะเห็นว่าทั้ง 2 เมือง มีสิ่งปลูกสร้างและอาคารสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกัน อาทิ อาคารศาลากลางเมืองพระตะบอง (หลังเก่า) ที่เป็นต้นแบบของอาคารโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ จ.ปราจีนบุรี วัดดำไรซอ (วัดช้างเผือก) กับวัดแก้วพิจิตร เป็นต้น ทำให้มีความน่าสนใจเดินทางค้นหาและศึกษาประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่ผูกพันกัน

 

 

ขอขอบคุณททท.ภาคตะวันออก รวมถึงคุณเอิบลาภ ศรีภิรมย์ ผู้อำนวยการกองตลาดภาคตะวันออก คุณกนกกิตติกา กฤตย์วุฒิกร ผู้อำนวยการททท.สำนักงานระยอง (ดูแลระยอง-จันทบุรี) คุณพรนันท์ สัณหจันทร์ ผู้อำนวยการททท.สำนักงานนครนายก (ดูแลนครนายก-ปราจีนบุรี-สระแก้ว) สตาฟททท.ทุกคน รวมถึงบริษัทวินวิน สมายล์ที่พาไปชมทริปดีๆในครั้งนี้

 

tags: ท่องเที่ยวต่างประเทศ, จำนวนผู้ชม : 1691

© www.bloggertravelista.com 2018